เมื่อวันที่
11 กุมภาพันธ์ 2565 เวลา 10.30 น. นายวีระพันธ์ ชุยชม นายกองค์การบริหารส่วนตำบลห้วยไร่ มอบหมายให้นายตระการ นิยมศรี รองนายกองค์การบริหารส่วนตำบลห้วยไร่ พร้อมจ่าเอกสาธิต ถีระพันธ์ หัวหน้าสำนักปลัดองค์การบริหารส่วนตำบล
นักทรัพยากรบุคคลรักษาราชการแทนนิติกร ประชุมร่วมกับนายอนุชิตอชิตพล ช่วงทิพย์ ปลัดอำเภอ ผู้ใหญ่บ้าน
ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลห้วยไร่ หมู่ที่ 2 ตำบลห้วยไร่
อำเภอเมืองอำนาจเจริญ จังหวัดอำนาจเจริญ ในการเจรจาไกล่เกลี่ยข้อพิพาท กรณี
นางจูมศรี ประทุม บ้านเลขที่ 97 หมู่ที่ 2 บ้านหาดทรายมูล ร้องเรียน/ร้องทุกข์
ไปยังศูนย์ดำรงธรรมอำเภอเมืองอำนาจเจริญ
ว่าได้รับความเดือดร้อนจากกกการปิดกั้นทางเข้า-ออกบ้าน ทำให้ยากต่อการสัญจรไปมา
ซึ่งที่ดินที่ผู้ปิดกั้นนั้นเป็นที่ดินว่างเปล่า แต่เป็นที่ดินครอบครองโดยไม่ได้ถือกรรมสิทธิ์ซึ่งได้ใช้ทางเส้นนี้สัญจรไปมามากกว่า
30 ปี ตั้งแต่สมัยพ่อแม่ได้ทำข้อตกลงให้มีการสัญจรเส้นทางนี้
ห้ามปิดทางเข้าออกให้ผู้ที่อยู่อาศัยอยู่บ้านหลังถัดมาใช้ร่วมได้
แต่เมื่อพ่อแม่ผู้ปิดทางเข้าออกได้เสียชีวิตลง ผู้ครอบครองจึงปิดทางเข้าออกนั้น จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงและไกล่เกลี่ยกรณีพิพาทในพื้นที่ดังกล่าวทำให้ทราบว่า
1. นางจูมศรี
ประทุม (ผู้ร้อง) กล่าวอ้างว่า เดิมที่ดินของตน นายดี เจริญสุข ซึ่งเป็นบิดาได้ซื้อจาก
นายสุข นามบุดดี
ซึ่งเป็นบิดาของนายหนูเวียง นามบุดดี
(ผู้ถูกร้อง) ได้ตกลงให้ใช้เส้นทางที่เกิดข้อพิพาทในปัจจุบัน เป็นเส้นทางสัญจร
(ในสมัยนั้นไม่มีทางเข้า-ออก) ซึ่งตนได้ใช้สัญจรมามากกว่า 30 ปี 2. นายบุญมี
เจริญสุข และนายหนูเวียง นามบุดดี (ผู้ถูกร้อง) กล่าวอ้างว่า
ที่ดินที่ผู้ร้องกล่าวอ้างนั้นไม่ได้เป็นทางสาธารณะประโยชน์
แต่เป็นที่ดินของผู้ถูกร้อง ที่ให้ใช้ในการสัญจรเข้า-ออกนั้น
ไม่ได้สละให้เป็นทางสาธารณะประโยชน์แต่อย่างใด
และผู้ร้องได้มีการนำดินมาถมเพื่อปรับแต่งเป็นทางสัญจร โดยไม่ได้ขออนุญาตพวกตน
จึงมีความประสงค์จะปิดไม่ได้ ให้สัญจรผ่านที่ดินของพวกตนอีกต่อไป 3. จากการตรวจสอบพื้นที่เพิ่มเติม พบว่า
เดิมเป็นของนางจูมศรี ประทุม (ผู้ร้อง) ที่บิดาซื้อไว้แต่อดีตเป็นที่ตาบอด
ไม่มีทางสัญจรเข้า-ออก จึงได้มีการตกลงระหว่างผู้ซื้อขายในสมัยนั้น
ให้ใช้เส้นทางดังกล่าวในการสัญจรร่วมกัน ต่อมาได้มีการตกลงซื้อขายที่ดินเพิ่มเติม
ทำให้ที่ดินบริเวณดังกล่าวของนางจูมศรี ประทุม (ผู้ร้อง)
เพิ่มขึ้นและสามารถปรับแต่งใช้เป็นเส้นทางเข้า-ออก เชื่อมไปยังทางสาธารณะประโยชน์ซึ่งเป็นถนนคอนกรีตในปัจจุบัน
ซึ่งไม่มีความจำเป็นอีกต่อไปในการสัญจรผ่านที่ซึ่งมีการครอบครอง 4. จากการไกล่เกลี่ยทำความเข้าใจระหว่างผู้ร้องและผู้ถูกร้อง
ได้มีการเสนอ ให้ผู้ร้อง ปรับแต่งทางเพื่อใช้ในการสัญจรเป็นของตนเอง
เนื่องจากมีพื้นที่สามารดำเนินการได้โดยไม่กระทบกับพื้นที่ข้างเคียง และเสนอให้ผู้ถูกร้อง
เปิดเส้นทางสัญจรชั่วคราว ในช่วงระหว่างที่ผู้ร้องดำเนินการปรับแต่งทางเพื่อใช้สัญจรเป็นของตนเอง
เป็นระยะเวลา 6 เดือนนับถัดจากวันที่ตกลงกัน 5. ผู้ถูกร้อง ยินดีเปิดเส้นทางสัญจรเป็นเวลา 6
เดือน เพื่อให้ผู้ร้องได้สัญจรชั่วคราวในช่วงระหว่างการดำเนินการปรับแต่งเส้นทางสัญจรใช้เป็นของตนเอง
ผู้ร้อง ยังคงยืนยันจะใช้และสัญจรในเส้นทางเดิม ที่เคยได้ตกลงกันไว้ในอดีต
เป็นเส้นทางสัญจรตลอดไป ผลการไกล่เกลี่ย ไม่สามารถตกลงกันได้
ผู้ร้องไม่ยอรับในข้อตกลงใด ๆ ยืนยันจะใช้และสัญจรในเส้นทางเดิมต่อไป ข้อเสนอแนะ เนื่องจากยังไม่มีความชัดเจนในอีกหลายประเด็น
เช่น 1. เอกสารสิทธิของผู้ถือครองในที่ดินดังกล่าว ณ
วันที่ตกลงไกล่เกลี่ย ไม่ได้นำมาแสดงประกอบการพิจารณาไกล่เกลี่ย 2. พยาน หลักฐานที่แสดงถึงการอนุญาตให้ใช้สัญจรในเส้นทางที่เกิดข้อพิพาท
ไม่มีนำมาแสดงประกอบการพิจารณาไกล่เกลี่ย 3. เสาไฟฟ้าของการไฟฟ้าที่เข้าไปตั้งอยู่ข้างถนนที่เกิดข้อพิพาทดังกล่าว
ยังไม่ทราบถึงที่ไปที่มาว่าก่อนนั้น เคยมีการมอบหรืออุทิศไว้เพื่อใช้ประโยชน์ร่วมกันหรือไม่ คณะผู้ร่วมตรวจสอบข้อเท็จจริง จึงได้แจ้งผู้ใหญ่บ้าน
หากผู้ร้องและผู้ถูกร้องมีหลักฐานเพิ่มเติมเกี่ยวกับ
เรื่องดังกล่าว
สามารถนำมาเป็นข้อมูลเพื่อไกล่เกลี่ยสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องตรงกันและสามารถอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีความสุขได้
ต่อไป |